วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หนทางการรักษาโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งจัดเป็นโรคกรรม โรคเวร สาเหตุของโรคมะเร็งมีหลายอย่าง เช่น การโกงคนอื่นหรือการโกงงบประมาณแผ่นดิน, โรคมะเ็ร็งที่เกิดจากพันธุกรรม (กรรมที่พ่อแม่ทำไว้ สามารถตกทอดถึงลุกหลานได้ ดั่งกรรมะพันธุ), การบริโภคอาหารที่เป็นบ่อเกิดของมะเร็ง ฯลฯ

หนทางการรักษาโรคมะเร็ง มีหลายวิธี เช่น

1.การไปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี มีผู้คนที่เป็นโรคมะเร็ง จำนวนหลายท่านที่ไปปฏิบัติธรรม ที่วัดอัมพวัน แล้วหายจากโรคมะเร็ง รายละเอียดไปอ่านได้ในหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ (สามารถดาวส์โหลดไปอ่านได้เลย) คลิกที่ลิ้งค์นี้ :

2.ไปรักษากับอ.นงนุช รักษาโรคด้วยญาณหลวงปู่เทพโลกอุดร รายละเอียดคลิกอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ : http://powerful-health.blogspot.com/2013/10/blog-post.html 

3.ไปรักษากับแม่หมอเทวดา ท่านจะบอกว่า (ท่านจะดูด้วยญาณของท่านเอง) ท่านที่เข้ามาขอรับการรักษา เป็นโรคอะไร มีสาเหตุมาจากอะไร รายละเอียดเพิ่มเติมไปอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้ : http://powerful-health.blogspot.com/2013/04/blog-post_21.html

4.การขอเมตตาจากครูบาอาจารย์ อาทิเช่น การไปขอเมตตาบารมีกับหลวงพ่อดำ อายธัมโม รายละเอียดเพิ่มเติมมีอยู่ในหนังสือ "อ่านกรรม (เปิดทางบุญ แก้กรรม ทำให้รวย หากโลกนี้ขอพรได้จริง คงไม่มีใครจน)

5.การขอความช่วยเหลือจาก คุณหวังช่วย ไม่หวังดัง เบอร์โทร 089-1289304 เข้าดู Facebook : อ.หวังช่วย รักษามะเร็ง  

6.การขอความเมตตากับหลวงพ่อจีราวัฒน์ วัดถ้ำรูปลับแลนคร ติดต่อหลวงพ่อได้ที่เบอร์ 081-1979177

7.การรักษาโรคมะเร็ง ตำหรับของหลวงพ่อจรัญ คือ นำลูกใต้ใบทั้ง 5 กับต้นไมยราบทั้ง 5 มาต้มกินต่างน้ำ (ทั้ง 5 หมายถึง ราก, ต้น, ใบ, ดอก, และผล)

8. หมั่นสวดพระคาถา "อุณหิสสะวิชะยะคาถา" มีพุทธานุภาพมากในด้านของการมีอายุยืนและยังทำให้สุขภาพแข็งแรง (มีอยู่ในคู่มือเปลี่ยนดวง แก้ไขกรรมด้วยตนเอง) อยู่ที่หน้า 90, ดาวส์โหลด คู่มือเปลี่ยนดวง แก้ไขกรรมด้วยตนเอง 

9.หมั่นสวดพระคาถาโอสถปริตร (พระคาถาสักกัตวา) : http://powerful-health.blogspot.com/2013/05/blog-post_27.html

10.ทานยาน้ำพลูคาวหรือคาวตอง ส่วนหญ้าปักกิ่งไม่แนะนำ เพราะไม่ค่อยเห็นผล

11.ควรรับประทานอาหารที่ไม่มีน้ำตาลหรือไม่หวาน เพราะมะเร็งชอบของหวาน

12.ควรทานผักหรือผลไม้ให้มาก เช่น แอปเปิ้ล แอพริคอท บาร์เล่ย์ ผลไม้รสเปรี้ยว (หรือรับประทานน้ำผักหรือน้ำผลไม้) แครอท มะเขือเทศ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง เป็นต้น

13.ไม่เครียด เพราะเวลาเครียดแล้วมะร็งจะแบ่งตัวเพิ่มขี้นง่าย

14. ส่วนการผ่าตัดหรือการทำคีโม ต้องพิจารณาด้วยตนเอง ควรไปสืบค้นข้อมูลเอง ว่าการผ่าตัดหรือทำคีโม กับการรักษาแบบชีวะจิตหรือยาแผนโบราณ แบบไหนที่ดีกว่า

** 15.อีกหนทางหนึ่งของคนป่วยเป็นโรคมะเร็ง ที่มีความหวังเหลือไม่มาก 
"เมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา  มีญาติของผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายมาอัญเชิญไปอวยพรให้คนป่วยถึงห้องพิเศษที่โรงพยาบาลสีคิ้ว   องค์ญาณก็ไป  แล้วบอกให้ญาตินำบายศรีไปถวายที่ตำหนัก  เขาก็ทำตาม   เดี๋ยวนี้คนป่วยลุกเดินเหินได้  กินข้าวกินน้ำได้   อาการเจ็บปวดก็ทุเลาเบาบางลงมาก  แพทย์ให้ออกจากโรงพยาบาลกลับไปอยู่บ้านแล้ว  พวกเขาจะพากันมากราบองค์พ่ออีกในไม่กี่วันนี้
               
อีกรายหนึ่งเป็นโรคหัวใจโต   เมื่อ 3 เดือนก่อนก็เข้าหองไอซียู  ทางญาติไปขอพรจากพระองค์ท่าน  ท่านก็ต่ออายุให้  จนสบายดี ออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน   แต่ท่านว่าเมื่อถึงวันไหว้ครูใหญ่ ( ๑๕ มีนาคม) ให้ไปหาท่านที่ตำหนัก   คนป่วยไม่ไป  องค์พ่อจิตรา (ท้าวยมราช) ลงมาบอกว่า กูนั่งรอมันใต้ต้นขนุน มันก็ไม่ยอมมาหาดุจที่มันรับปาก   ท่านก็ไม่พอใจ      เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา  คน ๆ นี้ก็ล้มป่วยลงอีก และหนักกว่าเดิม   ทั้งโรคหัวใจโต  ม้ามโต  ตับโต แพทย์นำเข้าห้องผ่าตัด  ลงมีดลึกไปนิดเดียวไปกรีดเอาตับเข้า  เพราะตับก็โตขึ้นเช่นเดียวกัน   ปรากฏเลือดไหลทะลักไม่หยุด   พวกญาติพี่น้องระดมกันมาให้เลือดเพิ่ม  ให้เลือดเข้าไปก็ไหลออกจากปากและจมูก  ดูท่าจะจบชีวิตเสียในคืนนั้น   พี่สาวซึ่งสนิทกับองค์ญาณจึงไปที่ตำหนัก  ขอพรองค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา   องค์พ่อจิตราลงประทับร่างองค์ญาณ   บอกว่ามันตระบัดสัตย์  มึงจะให้กูช่วยมันหรือ   พี่สาวคนป่วยก็อ้อนวอนขอความเมตตาจากท่าน    ท่านว่า กูเห็นแก่มึงที่ดีกับกูมาตลอด  รับใช้กูด้วยความซื่อสัตย์  กูจะให้โอกาสอีกสักครั้ง   มึงจะไม่ให้มันตายใช่มั้ย    พี่สาวคนป่วยก็รับตามท่านถาม    ท่านว่า กูจะให้มันอยู่ต่อไปอีก
               
เชื่อมั้ยครับ  ถึงวันนี้น่ากลัวผ่านมาประมาณ 5 อาทิตย์แล้ว   คนป่วยคนนี้ยังไม่ตาย  แต่นอนทนทรมานอยู่ในโรงพยาบาล   ทั้งหมอและนางพยาบาลต่างแปลกใจไปตาม ๆ กันว่าสภาพแบบนี้ทำไมจึงมีชีวิตอยู่ได้  
               
ความจริงเรื่องนี้ยืดยาวมาก  มีอดีตเป็นมาที่เกี่ยวพันกับองค์ญาณและองค์พ่อเหล็กไหล   ไม่สามารถนำมาขีดเขียนได้     ขอเล่าเพียงให้ทราบว่า  ท่านจะให้ใครตายก็ได้   จะให้ใครอยู่ก็ได้   จะทำให้หายป่วยก็ได้   ทำให้ทุกข์ทรมานสมใจท่านก็ทำได้  บางเรื่องที่เกี่ยวพันกับองค์พ่อเหล็กไหล  แม้องค์พ่อ ๑๖ ต้องการช่วยเหลือให้หายป่วยก็ไม่สามารถขัดความต้องการขององค์พ่อเหล็กไหล หรือพยายมราชได้   องค์พ่อ ๑๖ (ท้าวเวสวัณ)ถึงกับตรัสว่า ท้าวกุเวรนั้นเป็นเทพที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาก  บางเรื่องพ่อก็ไม่ก้าวก่ายเรื่องของท่าน  



วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ.นงนุช รักษาทุกโรคด้วยพลังจิต


หลวงปู่เทพโลกอุดร รักษาทุกโรคด้วยพลังสมาธิจิต


รักษาโรคด้วยพลังจิต,รักษามะเร็ง


อ.นงนุช สุระเสน
Tel. 089-693-3351 E-mail : pu_002@hotmail.com


ผมมีข่าวดีที่จะเล่าให้ฟัง
วันหนึ่งผมมีโอกาสไปทำบุญที่วัดปฏิบัติธรรม (สายป่าแห่งหนึ่ง) ได้พบเห็นการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคต่าง ๆ ด้วยพลังสมาธิจิต ผมจึงสนใจว่าเป็นใครมาจากไหนจึงเฝ้าดูอยู่หลายวัน และได้ความว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านได้ให้ญาณบารมีในการช่วยเหลือคน โดยการรักษาโรคทุกโรคให้มวลมนุษย์ อาจารย์นงนุช สุระเสน ปัจจุบันรับราชการเป็นผู้บริหารด้านการศึกษา ในจังหวัดนนทบุรี การศึกษาท่านระดับปริญญาเอก ใ้หช่วยเหลือมวลมนุษย์และสัตว์โลกด้วยพลังสมาธิจิต ผมจึงถ่ายภาพและสัมภาษณ์ผู้ที่ไปรับการรักษามาดังนี้


  
1. ลุงวิเชียรเป็นผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งที่หลอดคอและลามลงมาที่ปอดซึ่งได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกำแพงแสนเป็นเวลาหลายปี จนกระทั้งทางโรงพยาบาลให้ลุงวิเชียรกลับบ้านซึ่งตอนนั้นอาการหนักมาก ญาติมีความประสงค์จะให้มาเสียชีวิตทีบ้านพักและทุกคนต่างทำใจคงเป็นวาระสุดท้ายของลุงวิเชียร แต่เป็นโชคดีของลุงวิเชียรซึ่งมีบ้านพักอยู่ใกล้กับวัดแห่งนั้น จึงไปรักษากับหลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่ฯ รักษาลุงวิเชียรประมาณ 15 วัน อาการดีขึ้นตามลำดับ และอีก 1 เดือนต่อมา ลุงวิเชียรได้ไปโรงพยาบาลและหมอได้ตรวจเชื้อมะเร็ง ปรากฏว่าไม่พบเชื้อมะเร็งอยู่ในร่างกายของลุงวิเชียร

2. คุณโสภา ลอยหา รับราชการอยู่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ป่วยเป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลชลประทานมาหลายปีจนกระทั้งแพทย์ที่รับการรักษาแนะนำให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าเนื่องจากเกิดสภาวะคอพอกเพิ่มขึ้นและเริ่มมีอาการตาโปน ต่อมเริ่มทำงานแปรปรวน เริ่มมีอาการทางจิตเกิดความเครียดและวิตกกังวลบางครั้งเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่โชคดีได้มีโอกาสให้หลวงปู่เทพโลกอุดรได้รับการรักษา หลวงปู่ฯรักษาอยู่ประมาณ 15 วัน และอีก 1 เดือนต่อมาได้ไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลตรวจ ผลการตรวจปรากฏว่าสภาวะของเลือดอยู่ในระดับปกติ อาการคอพอก ตาโปน เข้าสู่สภาวะเดิม และคุณโสภา ฝากบอกอีกว่า หลวงปู่ัยังให้สมุนไพรอันวิเศษรักษาสิวฝ้าและไม่ให้ผมงอก ซึ่งได้ผลอย่างดีเยี่ยมไว้อีกด้วย 


3. แม่ชีดา บวชอยู่ที่วัดไร่แตงทอง(หลวงปู่หลิว) เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต แขนและขาด้านซ้ายไม่มีแรงและได้มาให้หลวงปู่รักษาประมาณ 1 เดือน แขนและขาเริ่มมีแรง และเริ่มใช้งานได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็น ของแขนขาด้านปกติ

4. เด็กหญิงแอนพิการซ้ำซ้อน พูดไม่ได้ ไม่ได้ยินเสียง จะอยู่ไม่ินิ่งอยู่ตลอดเวลา ทำร้ายพ่อแม่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ได้มีโอกาสให้หลวงปู่รักษาประมาณ 1 สัปดาห์ มีอาการสงบลงกว่าเดิมประมาณ 50 เปอร์เซ็น สามารถเปล่งเสียงได้ชัดเจนขึ้น

5. ร.ต.ต. อำนาจ ป่วยเป็นโรคต่อมลูกหมากโต แพทย์นัดอีก 2 เดือนผ่าัตัด และได้ให้หลวงปู่รักษาประมาณ 1 เดือน แล้วไปให้แพทยคนเดิมตรวจ ผลปรากฏว่า ต่อมลูกหมาก มีอาการปกติ ไม่ต้องผ่าตัด

6. นายศิลป์ สูบบุรี่วันละ 2 ซอง เป็นเวลาหลายสิบปี เจ้าตัวต้องการเลิกสูบบุหรี่ ได้มาหาหลวงปู่ใ้ห้ช่วยรักษา หลวงปู่ได้รักษาอยู่ 3 สัปดาห์ นายศิลป์เลิกบุหรี่ได้โดยเด็ดขาด

7. อ.สังวาลย์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแ่ห่งหนึ่งใน จังหวัดลพบุรี ติดสุรา จะต้องดื่มทุกวัน วันละ 1 กลม มาเป็นเวลา หลายสิบปี ได้ให้หลวงปู่รักษา อยู่ประมาณ 1 เดือน และสามารเลิกดื่มสุราได้โดยเด็ดขาด


และ อ.นงนุชบอกว่า หลวงปู่ให้ช่วยคนที่ติดสิ่งเสพติดทุกประเภท โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ต้องช่วยเหลือเป็นอันดับแรก ผู้ปกครองท่านใด ที่มีบุตรหลานติดสารเสพติด ติดเกมส์ ใ้หรีบพามารักษา


8.นางสมพงษ์ สอนสันต์ เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ 
ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ค่าน้ำตาลอยู่ในระดับ 500 กว่า ตาเริ่มมองไม่เห็น นิ้วเท้าเน่าเปื่อย โรงพยาบาลที่รักษาอยุ่บอกว่าหากไม่ดีขึ้นจะต้องตัดทิ้ง ได้มารับการรักษา 5 ครั้ง อาการทางสายตาปกติ นิ้วเท้าที่เน่าเปื่อยหายปกติ ค่าน้ำตาลลดเหลือ 150 -200 เศษๆ แต่สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือ ในการรักษาทางจิต โดยการสวดมนต์ ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน ในการรักษาทางกาย โดยเลือกรับประทานอาหารที่เน้นผัก/ผลไม้ ลดอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ และออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย
รวบรวมข้อมูลและถ่า่ยภาพโดย รศ.ดร.วิทยา ตรีโลเกศ นักวิจัย 



9. คุณธนวัต นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ปีที่ 2 มีอาการปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา
ผิวหน้าหยาบกระด้างคล้ายกระดาษทรายเบอร์ 0 รักษาแพทย์แผนปัจจุบัน จากโรงพยาบาลชื่อดัง 3 ปีเศษ อาการดังกล่าวยังไม่หาย จนกระทั้งมีโอกาสได้มาพบหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านเมตตารักษาให้ โดยบริกรรมน้ำมันมะพร้าวแล้วทาไปบนใบหน้าพร้อมกับเป่าทั่วบนใบหน้า 3 ครั้ง อาการปวดแสบปวดร้อนหายไปและผิวหน้าที่หยาบกระด้างกลับคืนสู่สภาพผิวปกติเหมือนคนทั่ว ๆ ไป 

10. ดร.ขัตติยา ด้วงสำราญ เป็นผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนนทบุรี และเป็นอาจารย์พิเศษสอนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ปกติท่านจะเป็นคนผิวแห้งมาก ๆ โดยเฉพาะใบหน้าจะดำกร้าน มีรอยเหี่ยวย่นมาก ถึงแม้จะใช้ครีมบำรุงยีห้อดัง ๆ ราคาแพง ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ต่อมาได้พบกับ ดร.นงนุช โดยบังเอิญ ซึ่งจะต้องประชุมร่วมกัน (ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน) ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.นงนุช ท่านเห็นใบหน้าดำกร้าน ท่านจึงให้น้ำสมุนไพรมา แต่ลืมถามว่าให้ไปทำอะไร เลยเอาไปล้างหน้าและอาบโดยผสมในอ่างน้ำ (กลิ่นหอม มาก ๆ ค่ะ) 1 เดือนผ่านไป ผิวที่เคยดำกร้านและเหี่ยวย่นกลับสู่ความเรียบเนียนและชุ่มชื่นอย่างอัศจรรย์ 

หากท่านสนใจ ลองปรึกษาท่านอาจารย์นงนุช สุระเสน ได้ที่เบอร์ 089-693-3351

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ภาวนารักษาโรคมะเร็ง

เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๔ ข้าพเจ้ารับราชการเป็นอนุศาสนาจารย์กองทัพภาคที่ ๒ ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ได้ป่วยเป็นโรคทางเดินปัสสาวะ จึงไปรับการรักษาตัวที่ รพ.ค่ายสุรนารี หมอรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาลนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าก้อนเนื้อแข็งเป็นไตแข็งอยู่ใต้ใบหูด้านขวา เมื่อเห็นว่าอาการโรคทางเดินปัสสาวะทุเลาลงแล้ว จึงได้ขอร้องให้หมอช่วยทำการผ่าตัดออกให้ โดยที่ตัวเองและหมอก็ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร

พันโท นายแพทย์ วณิช จึงได้ทำการผ่าตัดและได้จัดส่งก้อนเนื้อนั้นไปโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ทำการตรวจอีกครั้งว่าเป็นโรคอะไร ครั้นต่อมาทาง รพ.พระมงกุฎฯ ได้แจ้งไปว่า ก้อนเนื้อนั้นมีเชื้อมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง ข้าพเจ้าจึงถูกส่งตัวมารักษาโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ด่วน เพื่อรับการรักษาต่อ ทางโรงพยาบาลได้รีบทำการผ่าตัดด่วนที่สุดบริเวณใต้ใบหูอีกครั้งหนึ่ง ได้อยู่ รพ.พระมงกุฎฯ ๒ เดือน ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล โดยได้รับการฉายแสง ๑๐ ครั้ง

อยู่ต่อมาอีก ๒ ปี คือในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ข้าพเจ้าย้ายมารับราชการที่กองทัพภาคที่ ๑ ใบหูด้านขวาของข้าพเจ้าก็เปื่อยมีเลือดและน้ำเหลืองไหลออกมา และมีอาการคันอย่างยิ่ง แสดงว่าโรคมะเร็งได้กำเริบขึ้นมาอีก ผ่าตัดถึง ๒ ครั้งแล้วก็ยังไม่หาย หมอที่กองทัพภาคที่ ๑ ได้แนะนำให้เข้ารพ. ด่วนที่สุด อาจารย์สมใจ กอรป-สิริพัฒน์ บุตรสาวของข้าพเจ้า ได้พาไปยังโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เพื่อทำการรักษา เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่าที่ใต้ใบหูของข้าพเจ้านั้น ไม่มีส่วนใดที่จะให้ผ่าตัดอีกแล้ว ถ้าผ่าอีกทีก็ต้องตัดใบหูทิ้ง ถ้ามันจะหายเพราะการผ่าตัด มันคงจะหายไปแล้ว หากเข้าไปโรงพยาบาลอีก ก็จะมีแต่ตายกับตายลูกเดียว เพราะมะเร็งไม่เคยไว้ชีวิตใคร

ข้าพเจ้าคิดว่า ไหนๆ จะตาย ก็ไปตายที่วัดดีกว่า ขณะนั้นทางกองอนุศาสนาจารย์ กำลังจัดส่งอนุศาสนาจารย์ระดับยศ พันโทลงไป ให้ไปฝึกกรรมฐานรุ่นแรกกับพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ) วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้าไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ที่จะต้องไปฝึกกรรมฐาน แต่ก็ได้ตกลงใจสมัครไปฝึกกรรมฐานร่วมกับคณะด้วย เพื่อรักษาโรคมะเร็งที่กำลังคุกคามอยู่

เมื่อไปถึงวัดอัมพวัน หลวงพ่อเห็นว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคมะเร็ง จึงจัดกุฏิที่พักให้เป็นพิเศษ ไม่ต้องพักรวมกับหมู่คณะ อยู่คนเดียว เป็นกุฏิหลังเล็กๆ ด้านท้ายวัด และได้เริ่มทำการฝึกกรรมฐานในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๖ เวลา ๑๓.๓๐ น. กิจเบื้องต้นในการฝึกกรรมฐาน คือ
๑. สมาทานศีล ๘ ร่วมกับคณะอนุศาสนาจารย์ที่ร่วมกันฝึก
๒. ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เห็นธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่การปฏิบัติ
๓. ตั้งจิตอธิษฐานถือมังสวิรัติ (กินเจ) ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งทางวัดรับทำอาหารเจให้ สำหรับผู้ต้องการทานอาหารเจ

เนื่องจากตนมีโรคร้ายเบียดเบียน คือ โรคมะเร็ง ขณะเข้าปฏิบัติกรรมฐานมีแผลที่บริเวณหูด้านขวา มีน้ำเหลืองน้ำหนองและเลือดที่ช้ำเลือดช้ำหนองไหลออกตลอดเวลา บางครั้งเอาแก้วมารองรับเลือดที่ไหลออกมา ซึ่งหยดติ๋งๆ เลือดไหลออกมาจนเต็มแก้ว มีอาการปวดแผลมาก จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานด้วยบุญบารมีที่ได้ทำมาในอดีตและกุศลกรรม คือการภาวนาที่จะได้บำเพ็ญต่อไปนี้ จงดลบันดาลขอให้ตัวเองหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่กำลังเป็นอยู่ด้วย

ข้าพเจ้าและคณะได้ทำการฝึกกรรมฐานตามตารางที่ท่านกำหนดให้ เริ่มตั้งแต่เวลา ๐๔.๓๐ น. จนกระทั่งเวลา ๒๔.๐๐ น. ทุกๆ วัน มีการเดินจงกรม สวดมนต์ แผ่เมตตา นั่งสมาธิ ฟังธรรม ฟังการบรรยายธรรมจากหลวง-พ่อสลับกันไป ตลอด ๑ วัน ๑ คืน

ผลที่ปรากฏทางร่างกายในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๖ ข้าพเจ้ารู้สึกเบาเนื้อเบาตัว อาการปวดตามข้อตามร่างกายหายไป รู้สึกมีอาการปวดหน่วงๆ ที่ขาเหนือหัวเข่าด้านซ้าย จึงเปิดผ้ากางเกงที่คลุมอยู่ดู รู้สึกตกใจมาก เพราะมีเลือดสีดำไหลไปรวมกันอยู่บริเวณขาเหนือข้อพับหัวเข่า มีบริเวณที่เป็นเลือดสีดำคั่งอยู่ประมาณเท่าฝ่ามือ เป็นโลหิตสีดำอย่างดินหม้อน่าเกลียดมาก จากการปวดหนักหน่วงตามขาด้านซ้ายบริเวณที่เลือดคั่งอยู่ จึงได้มากราบเรียนให้หลวงพ่อทราบและเปิดขาให้หลวงพ่อดู รวมทั้งเพื่อนอนุศาสนาจารย์ก็ได้ดูด้วย หลวงพ่อท่านดูแล้วก็บอกว่า “โรคผุด” โรคจะหาย คือ โรคที่อยู่ในร่างกายเรานี้ มันไหลไปรวมกันอยู่ในที่เดียว คือ ในที่เราเห็นนั้น ต่อไปอาการที่ดำนี้ก็จะหายไปเอง แต่ต้องทาน้ำมันกินยาช่วย หลวงพ่อก็ไปจัดน้ำมันมนต์และจัดยามาให้ทาน

หลังจากทานยาเม็ดที่หลวงพ่อให้แล้ว มีอาการมีก้อนเนื้อเล็กๆ ผุดขึ้นตามร่างกายทั่วไป มีอาการคันมาก เมื่อก้อนเนื้อผุดขึ้นมาเป็นผื่นแล้วก็แตก มีน้ำเหลืองไหลออกเล็กน้อย แล้วก็แห้งหายไปและหายคัน อาการเป็นอยู่เช่นนี้จนถึงวันเสร็จสิ้นการฝึกกรรมฐาน อาการที่ว่านี้จึงทุเลา และอาการปวดแผลนั้นก็ทุเลาหายไป สำหรับบริเวณที่เหลือไปคั่งอยู่เหนือหัวเข่านั้น ต่อมาก็มีน้ำเหลืองไหลซึมออกมาตามเส้นที่ใต้ข้อพับหัวเข่า โดยที่ไม่มีแผล แต่ก็มีน้ำเหลืองไหลออกมามาก จนขากางเกงเปียกเพราะน้ำเหลืองไหลออกมามาก ไหลอยู่หลายวันก็หายไปเอง แผลที่หูก็พลอยแห้งหายไปด้วย และก็หายมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นับว่าข้าพเจ้ารอดตายจากโรคมะเร็งได้อย่างประหลาดมหัศจรรย์ เพราะบารมีหลวงพ่อชุบชีวิตให้ใหม่

ผลที่ปรากฏทางจิตใจ การฝึกจิตวันที่ ๑๒ – ๑๓ กันยายน ๒๕๒๖ มีทุกขเวทนามาก อารมณ์ส่ายมาก นอกจากนั้นจิตยังติดการภาวนาแบบ “พุทโธ” ที่ตนเคยปฏิบัติอยู่ประจำ
ในวันที่ ๑๔ – ๑๕ กันยายน ๒๕๒๖ เดินจงกรมดีขึ้น การนั่งสมาธิคล้ายคนเอาเข็มมาแทงตัวจนสะดุ้งและมีอาการคล้ายมดไต่ไปตามตัว จนต้องเอามือจับออก แต่ก็ไม่มีอะไร
ในวันที่ ๑๖ – ๑๗ กันยายน ๒๕๒๖ ทุกขเวทนาน้อยลง จิตดิ่งเข้าสู่ความสงบดี มีอาการวูบลงเหมือนตกเหว มองเห็นตัวเอง เห็นทองตัวเองพองขึ้นยุบลง เวลาจิตเคลื่อนออกจากสมาธิออกตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ตรงเวลาทุกครั้ง และอาการที่จิตถอนออกจากสมาธินั้น เหมือนสิ่งที่จมน้ำอยู่แล้วลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อดูเวลาแล้วก็ปรากฏว่าตรงกับเวลาที่ตนตั้งใจไว้ว่าจะออกก่อนนั่งสมาธิ

วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๖ เป็นวันที่ครบกำหนดการฝึกกรรมฐาน และจะออกการฝึกกรรมฐาน วันนั้นเวลา ๐๕.๓๐ น.ข้าพเจ้าได้ไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศล ณ กุฏิที่พัก ให้แก่บิดา มารดา บุตร ภริยา ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ และผู้ที่รู้จักคุ้นเคยเคารพนับถือที่ล่วงลับไปแล้ว โดยระบุชื่อทุกคนที่แผ่ส่วนกุศลให้ เมื่อแผ่ส่วนกุศลระบุชื่อ “พระธรรมนิเทศทวยหาญ” หัวหน้าอนุศาสนาจารย์คนแรก ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตนเอง คือ

ตัวเองรู้สึกมีอาการขนลุก ขนพอง ตื้นตันใจ น้ำตาไหลพราก สะอื้นขึ้นเองเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกับร้องไห้ โดยมีอาการเป็นไปเอง ตัวเองบังคับตัวเองไม่ได้ แล้วตนเองก็เปล่งวาจาขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกข์ทรมานมานานแล้ว พึ่งจะหมดทุกข์หมดเวรวันนี้ ขอขอบใจที่แผ่ส่วนกุศลให้” แล้วตนเองก็ฟุบหมอบลงไปที่หมอน หมอบอยู่นานจึงมีอาการเข้าสู่ภาวะปกติ และแล้วก็ได้ลุกขึ้นแผ่ส่วนกุศลให้บุคคลอื่นต่อไป


เรื่องนี้ ได้เล่าอาการที่ปรากฏให้หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณทราบ ท่านบอกว่า ที่เราแผ่ส่วนกุศลไปนั้น แสดงว่าคนที่เราแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาได้รับส่วนบุญ และตัวเราเองก็จะหมดเวรหมดกรรมหมดทุกข์ร้อนเสียที และในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๖ เป็นวันที่เราออกจากรรมฐาน สมาทานศีล๕ ทำบุญร่วมกัน ถวายผ้าป่า และได้กราบลาหลวงพ่อกลับต้นสังกัด

สำหรับข้าพเจ้านั้น ก็รอดตายมาเพราะการภาวนาที่วัดอัมพวัน โดยหลวงพ่อเป็นผู้ฝึกกรรมฐานให้เมื่อกลับจากการฝึกกรรมฐาน ตนเองสามารถมาทำงานที่กองทัพภาคที่ ๑ ได้ตามปกติ ไม่ต้องมีต้องมีการลางานและเข้าโรงพยาบาลกันอีก หูที่เป็นแผลเน่าเปื่อยก็หายไป ใครที่เห็นหูข้าพเจ้าเปื่อยและหายได้ ต่างก็อัศจรรย์กันทุกคน เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๓ นี้ ข้าพเจ้าไปงานสมโภช ปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ ของพระราชสีมา-ภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ณ วัดพรหมราช อ.ปักธงชัย พระศรีธรรมาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ได้มาขอจับดูหูของข้าพเจ้าว่าหูของข้าพเจ้าหายจริงๆ หรือ

คนที่เป็นมะเร็งในระยะแรกนั้น อาจจะรักษาโดยวิธีผ่าตัดได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งมากแล้วนั้น ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้ มีแต่ตายกับตายลูกเดียว คุณไพเราะ ทสยันไชย ภริยาของข้าพเจ้า เป็นมะเร็งทีหลังข้าพเจ้า ก็ตายเพราะโรคมะเร็ง หลังจากที่รู้ว่าเป็นมะเร็งเพียง ๒ เดือน พันโท วณิชฯ ซึ่งเป็นแพทย์ผ่าตัดของข้าพเจ้าที่ รพ.ค่ายสุรนารีนั้น ก็ตายเพราะโรคมะเร็ง สำหรับข้าพเจ้าที่รอดตายมาได้จนถึงขณะนี้ เพราะบารมีของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณโดยแท้ มีชีวิตเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ เพราะตั้งแต่ข้าพเจ้าไปภาวนารักษาโรคมะเร็งที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้าก็ถือมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์มาตั้งแต่บัดนั้น ชีวิตเลือดเนื้อของข้าพเจ้าในขณะนี้ จึงเป็นชีวิตใหม่ เลือดเนื้อใหม่ ไม่ใช่เลือดเนื้อที่ปนด้วยเนื้อสัตว์


ที่มา  : เรื่องภาวนารักษาโรคมะเร็ง โดยพันเอกวิโรจน์ ทสยันไชย หนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 4; ดาวส์โหลดหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 4

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พระคาถาสักกัตวา (โอสถปริตร)

สักกัตตะวา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
เพราะทำความเคารพพระพุทธรัตนะ อันเป็นดั่งโอสถอันอุดมประเสริฐ
หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะเตเชนะ โสตถินา
เป็นประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้า
นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เม
ขอสรรพอุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอทุกข์ทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยสวัสดี

สักกัตตะวา ธัมมะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
เพราะทำความเคารพพระธรรมรัตนะ อันเป็นดั่งโอสถอันอุดมประเสริฐ
ปะริฬาหูปะสะมะนัง ธัมมะเตเชนะ โสตถินา
เป็นเครื่องระงับความกระวนกระวาย ด้วยเดชแห่งพระธรรมรัตนะ
นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา วูปะสะเมนตุ เม
ขอสรรพอุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอภัยทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยสวัสดี

สักกัตตะวา สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
เพราะทำความเคารพพระสงฆรัตนะ อันเป็นดั่งโอสถอันอุดมประเสริฐ
อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถินา
เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
ด้วยเดชแห่งพระสงฆ์
นัสสันตุปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เม
ขอสรรพอุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอโรคทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยสวัสดี


(ไม่ต้องสวดคำแปลนะครับ เพียงแต่พิมพ์ให้ทราบว่าอาศัยอำนาจพระบารมีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ)
 
ผู้ใดหมั่นสวดพระคาถานี้จะระงับโรคภัยไข้เจ็บ จะอายุยืนยาว ใช้เสกยากินแก้โรคได้ และถ้าผู้ใดสวดเจริญอยู่เป็นนิจ นอกจากปราศจากโรคภัยแล้ว ยังแคล้วคลาดจากภัยต่างๆ เช่น โจรภัย, ฯลฯ เป็นต้น
 
หมายเหตุ : สวดให้ตนเองลงท้ายด้วย เม สวดให้คนอื่ีนลงท้ายด้วย เต
 

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ใช้วิถีธรรมชาติขจัด 6 โรคร้าย ใน 4 เดือน


จากหนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณที่ถูกโรคร้าย รุมเร้าถึง 6 โรค ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบรุนแรง และปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ซึ่งจากประสบการณ์ทางแพทย์ที่สั่งสมมา ทำให้เขารู้ว่า โรคร้ายเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงกินยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น

แต่ เมื่อเขานำศาสตร์ในการดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการค้นคว้าและทดลองปฏิบัติด้วยตัวเองมาใช้ ‘นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์’ กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลราชธานี โรงพยาบาลชื่อดังของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และประธานกรรมการบริหารเวลเนสซิตี้ กรุ๊ป ก็ต้องพบกับความอัศจรรย์ว่า เขาสามารถขจัดโรคร้ายทั้ง 6 โรคได้ภายในระยะเวลาแค่ 4 เดือน

• 6 โรคร้ายรุมเร้าจนต้องลุกขึ้นมาหาวิธีปฏิวัติตัวเอง

คุณหมอบุญชัยเล่าว่า ด้วยการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่เต็มด้วยความเร่งรีบ ความเครียดที่เกิดจากการทำงานและการกินอาหารตามความเคยชิน ส่งผลให้สุขภาพของเขาเริ่มมีปัญหา และสั่งสมเรื่อยมาจนกลายเป็นโรคร้ายถึง 6 โรคด้วยกัน น้ำหนักของเขาขึ้นไปถึง 113 กิโลกรัม ระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 294 ขณะที่ความดัน ตัวบนอยู่ที่ 170 ตัวล่าง 110 อีกทั้งไขมันในเลือดยังผิดปกติ !! แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แม้เขาจะเป็นหมอที่ช่วยชีวิตคนไข้มามากมาย แต่เขากลับไม่สามารถรักษาโรคเหล่านี้ของตัวเองให้หายขาดได้

ใน ทางกลับกันโรคที่เป็นอยู่กำลังเป็นสะพานที่นำไปสู่โรคภัยที่ร้ายแรงขึ้น จุดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหมอหันมาศึกษาค้นคว้า เพื่อหาทางแก้ไขและลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง

“ความจริง หลายๆ โรคที่เป็นเนี่ยะ เราก็รู้มาก่อนอยู่แล้ว อย่างโรคอ้วน โรคเม็ดเลือดแดงมากเกินไป โรคตับอักเสบเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง แต่สาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองก็คือ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ปี 53 ผมตรวจร่างกาย พบว่า เป็นเบาหวานและน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งโรคเบาหวานมันเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาอีกเยอะ เช่น โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองตีบ ตาบอดเพราะเบาหวานขึ้นตา

โรคเบาหวานไม่สามารถ รักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงรักษาตามอาการ กินยาเพื่อรักษาระดับน้ำตาล ซึ่งต้องกินยาตลอดชีวิต แต่การกินยามากๆ จะทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ทำให้ตับเสื่อมและไตวาย ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมมองหาวิธีการใหม่ที่จะมีโอกาสหายจากโรคเบาหวานหลากหลาย วิธีการ

วิธีการที่ผมใช้เริ่มจากพื้นฐานความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ และอาศัยความรู้หลายอย่างประกอบกัน ทั้งความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ความรู้เรื่องการเจริญของโลก ความรู้เรื่องมานุษยวิทยา ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ซึ่งเราก็เอาหลายๆอย่างมาผสมผสานกัน เพื่อหารากเหง้าความเป็นมาว่า มนุษย์เรามีความเป็นมาอย่างไร คือคนในปัจจุบันไม่ได้ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ เพราะเราสั่งสมวัฒนธรรมความรู้เพื่อจะทำให้เราดำรงชีวิตอย่างสะดวกสบาย ซึ่งการที่เราใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วย ดังนั้น การที่เราจะหายป่วยได้ เราก็ต้องไปหาว่า การใช้ชีวิตตามธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร” นพ.บุญชัย เล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง

• ค้นพบศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5’ สลายโรคร้าย

จาก การศึกษาวิเคราะห์ศาสตร์ต่างๆ ทำให้คุณหมอบุญชัยได้ข้อสรุปว่า อาหารที่คนเรานิยมบริโภคอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติและความต้องการของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ ปรับเปลี่ยนวิธีการกินและการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ จึงเกิดเป็นศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5’ ที่คุณหมอค้นพบด้วยตัวเอง

การ ค้นพบครั้งนี้ได้สร้างความอัศจรรย์ให้แก่วงการแพทย์อย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่คุณหมอนำศาสตร์ดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็ปรากฏว่า โรคร้ายที่คุณหมอบุญชัยเป็นอยู่ถึง 6 โรคนั้นได้อันตรธานหายไปภายในระยะเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้น

“จาก การศึกษาทำให้เราพบว่า จริงๆ แล้วมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ซึ่งอยู่ในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตระกูลเดียวกับลิง สมัยดึกดำบรรพ์เรากินผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งผักผลไม้ที่เรากินจะเป็นพวกใบอ่อน ย่อยง่าย และก็กินพวกเนื้อสัตว์บ้าง กินไข่ กินดินโป่งเป็นอาหารเสริม แต่ปัจจุบันเราไม่ได้กินแบบนี้อีกแล้ว วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้อาหารการกินของเราเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเราบริโภคสิ่งที่ไม่เหมาะกับร่างกายของมนุษย์ ผมก็มานั่งคิดว่า ถ้าเราจะใช้ชีวิตตามธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เราจะทำยังไง จะปรับได้ขนาดไหน

ผมจึงออกแบบชีวิตในปัจจุบันให้ปลอดภัยในระดับที่ สามารถรักษาโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้ชีวิตในการทำงานแบบคนเมืองได้ คือ ต้องสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตตามกฎธรรมชาติและการใช้ชีวิตแบบคนเมือง เราก็ใช้วิธีการทดลอง ดูจากตำรา ดูจากงานวิจัย และการทดลองปฏิบัติ ทำให้ได้ข้อสรุปของวิธีดำเนินชีวิตตามกฎธรรมชาติ

สรุปออกมาเป็นข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ และสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ 5 ข้อ ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า กฎห้าม 5 ต้อง 5” นพ.บุญชัย พูดถึงศาสตร์การคืนสู่วิถีธรรมชาติที่เขาค้นพบ

• มหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ โรคร้ายหายเป็นปลิดทิ้ง

หลัง จากที่คุณหมอบุญชัยปฏิบัติตามกฎ ‘ห้าม 5 ต้อง 5’ เขาก็พบกับความมหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ เพราะสุขภาพของเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และโรคร้ายที่เป็นอยู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง

“ผมเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีใช้ ชีวิตมาตั้งแต่ปี 2553 ถึงตอนนี้ก็ 2 ปีกว่าแล้ว ซึ่งหลังจากเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตแค่เดือนก็เห็นผลแล้ว พอถึงเดือนที่ 4ปรากฎว่า 6 โรคที่เป็นหายหมดเลย ยกเว้นไขมันในหลอดเลือดยังลดลงไม่ถึงระดับ คือโรคอ้วนก็หาย จากเดิมน้ำหนัก 114 กก. ลดลงเหลือ 89 กก. น้ำหนักผมลดลงไป 25 กก.

ตอนนี้โรคต่างๆ หายหมดแล้ว เบาหวานก็หาย น้ำตาลในเลือดที่เคยขึ้นไปถึง 294 ปัจจุบันเหลือ 90 มันลดลงเอง ไม่ต้องใช้ยาเลย ความดันผมลดลงจาก ตัวบน 170 เหลือ 105 ตัวล่างจาก 110 เหลือ 70 เส้นเลือดที่เคยแข็ง เส้นเลือดที่อุดตัน ก็เปลี่ยนเป็นเหนียว ยืดหยุ่นดี

คือมันเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ เหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่เรามองไม่ออก คือการใช้ยานอกจากจะแค่รักษาตามอาการ ไม่หายขาดแล้ว ยังมีผลข้างเคียงด้วย แล้วถ้าใช้ยาเราก็จะไม่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เพราะเราคิดว่ายาช่วยเราได้ คืออวัยวะที่มันเสื่อมไปเนี่ยะมันฟื้นไม่ได้

อย่าง เช่นโรคเบาหวาน เกิดขึ้นเพราะตับอ่อนเสื่อมจึงผลิตอินซูลินได้ไม่ดี แต่ร่างกายต้องใช้อินซูลินในการควบคุมน้ำตาล เมื่อผลิตอินซูลินได้น้อยน้ำตาลในเลือดก็ขึ้น พอเราปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ร่างกายดีขึ้น ตับอ่อนฟื้นตัวขึ้นก็ผลิตอินซูลินได้ดี เมื่อมีอินซูลินมาควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด น้ำตาลในเลือดก็ลดลงโดยไม่ต้องใช้ยาเลย” นพ.บุญชัย กล่าวถึงชีวิตใหม่ที่เขาได้รับหลังจากกลับมาสู่วิถีธรรมชาติ

• เดินหน้าเผยแพร่แนวคิดพิชิตโรค

เมื่อ ค้นพบวิธีที่สามารถทำให้หายจากโรคร้าย ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีที่ง่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเห็นผลอย่างรวดเร็ว

ด้วยจิตวิญญาณของ ความเป็นหมอที่อยากเห็นคนไข้หายป่วยและกลับมามีสุขภาพที่ดี คุณหมอบุญชัยจึงตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวให้แก่คนไข้และบุคคลทั่ว ไป ทั้งโดยการบรรยายให้แก่หน่วยงานและโรงพยาบาลต่างๆ และการเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้แบบง่ายให้ผู้ที่สนใจนำไปปฏิบัติ

“ปกติ ผมจะมีคอร์สบรรยายเรื่องการรักษาโรคโดยไม่ต้องใช้ยา แต่ใช้วิธีปรับการใช้ชีวิต ผมจัดเป็นหลักสูตร แล้วก็เอาหลักสูตรที่ได้มาเขียนลงหนังสือ เอาความรู้ที่ได้มาสอนคนอื่นต่อ ก็มีองค์กรใหญ่ๆติดต่อเข้ามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน การประปานครหลวง บริษัทปูนซิเมนไทย บริษัทการบินไทย ผมอบรมไปเกือบหมื่นคนแล้ว ผมไปบรรยายตามโรงพยาบาลที่ต้องการให้จำนวนคนไข้ลดลง เช่น ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี

คนไข้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของผมแล้วมีเยอะมาก คือ ถ้าปฏิบัติจริงจังต้องเห็นผลทุกราย จากสถิติคนที่ผ่านการอบรมในคอร์สของผมเนี่ย สามารถปฏิบัติอย่างจริงจังและได้ผลเต็มที่ประมาณ 30 % ปฏิบัติได้พอประมาณและได้ผลดีประมาณ 40% ส่วนที่เหลืออีก 30% ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เลยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร คือหลักสูตรของผมนั้นไม่ใช่ว่าเอายาลูกกลอนไปกิน 10 หม้อแล้วหาย แต่มันคือ หลักสูตรการเปลี่ยนชีวิตคน” นพ.บุญชัย กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

• ขอเพียงมีศรัทธาต่อชีวิต โรคร้ายก็หายได้

คุณหมอบุญชัยยังได้กล่าวตบท้ายให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยทุกคนว่า ขอเพียงมีศรัทธาก็สามารถหายจากโรคร้าย และกลับมามีชีวิตใหม่ได้แน่นอน

“ถ้า ไม่เป็นโรค เราก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ผมโชคดีที่ผมเป็นโรคที่เราวัดได้ว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง 10 ข้อแล้วเห็นผล มันก็เกิดกำลังใจ เกิดการเรียนรู้ เกิดการค้นคว้าจนได้คำตอบ

ผม จึงอยากให้ผู้ป่วยทุกคนมีศรัทธาต่อชีวิต มีความหวัง โรคทุกโรคเนี่ยะถ้าเรามีความเชื่อว่าเราจะหาย มีพลัง มีความมุ่งมั่น เราก็มีโอกาสหาย และถ้าเราปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้องเราก็สามารถหายได้

เพราะ ว่าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางธรรมชาติที่วิเศษที่สุด เพราะมันฟื้นฟูตัวเองได้ มันแก้ไขอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงแต่อย่าเอาจิตเราไปขวางมัน เราเพียงแต่เติมเต็มสิ่งที่จะเสริมสร้างร่างกายเรา เช่น อาหาร น้ำ อากาศ อย่างถูกต้อง พวกนี้ก็จะเป็นวัตถุดิบที่จะไปสร้างร่างกายเรา ขบวนการซ่อมตัวเองจะเกิดขึ้น”


• ข้อห้ามปฏิบัติ 5 ข้อ •

1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ เนื่อง จากจิตใต้สำนึกเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าคิดบวกหรือคิดลบก็ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจินตนาการเชิงลบจะก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ร้าย ซึ่งจะเป็นผลลบต่อร่างกาย

2. ห้ามอ้วน เนื่อง จากความอ้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ซึ่งเราจะพบว่า คนสมัยก่อนนั้นใช้ชีวิตตามป่าเขา หากินตามวิถีธรรมชาติ มีโอกาสได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงไม่อ้วนเหมือนผู้คนในปัจจุบัน ทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรค

3. ห้ามรับประทานน้ำตาล รวมถึงขนมและอาหารที่ใส่น้ำตาล เนื่อง จากความจริงแล้วอาหารที่เราได้จากธรรมชาตินั้นมีแป้งและน้ำตาลอยู่แล้ว ซึ่งน้ำตาลตามธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนที่พอดีและเหมาะกับร่างกาย แต่ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ติดหวาน เพราะเคยชินกับการเติมน้ำตาลในอาหารมาก จึงทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา

4. ห้ามรับประทาน Trans Fat หรือไขมันที่ผ่านความร้อน เพราะเมื่อไขมันผ่านความร้อน ไอน้ำในอากาศจะแตกตัว ทำให้ไฮโดรเจนในโมเลกุลของไอน้ำเข้าไปฝังตัวอยู่ในคาร์บอนของไขมันชนิดที่ ไม่อิ่มตัว และดึงไขมันอิ่มตัวขึ้นมา ซึ่งไขมันอิ่มตัวนี้เรียกว่า Trans Fat มักอยู่ในของทอด โดยคนที่กินอาหารทอดมากๆ มักเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

5. ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู วัว แพะ แกะ ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เนื่องจากหากศึกษาจากโครงสร้างจะพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยฟันของมนุษย์เป็นฟันแบบตัดซึ่งเหมาะกับการบดเคี้ยวพืช แต่เนื้อสัตว์ใหญ่จะมีลักษณะเหนียวเกินกว่าฟันมนุษย์จะบดเคี้ยวได้ นอกจากนั้น ลำไส้ของมนุษย์ยังมีลักษณะยาวมาก ทำให้เนื้อที่เหนียวและต้องใช้เวลาย่อยหลายวันไปเน่าอยู่ในลำไส้ จึงเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารพิษตามมา



• ข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ •


1. เน้นการกินพืชผักผลไม้ ซึ่งเป็นอาหารตามวิถีดั่งเดิมของมนุษย์ ในปริมาณครึ่งหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร โดยเน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานจัด และไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงสุก เนื่องความร้อนจะไปทำลายวิตามิน เอนไซม์ และสารต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นยา หากทำได้ทุกมื้อก็จะเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ

2. กินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีและยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ เพราะจะทำให้ได้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวและคาร์โบไฮเดตลงตามลำดับ เนื่องจากจริงๆ ข้าวและคาร์โบไฮเดตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้เราหันมาบริโภคข้าวและคาร์โบไฮเดตจนเกิดความ เคยชิน และกลายเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น

3. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง โดยออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ได้หอบหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับพิษออกหลายๆ ทาง ระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองจะทำงาน ซึ่งระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองนั้นเป็นระบบป้องกันโรคที่สำคัญของมนุษย์ นอกจากนั้น ขณะที่หอบหายใจนั้น ร่างกายจะเอาอากาศออกจากปอดได้ทั้งหมด ทำให้อากาศที่อยู่ในปอดสะอาดและมีปริมาณออกซิเจนสูง

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดย ช่วงการนอนหลับที่ดีที่สุดคือช่วง 22.00-02.00 น. เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายจะผลิตเมลาโพนินฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เราง่วง พอหลับสนิทร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโต ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เกิดการซ่อมสร้างในเวลาที่รวดเร็ว

5. การมีจินตนาการเชิงบวก คือ การจะให้ร่างการมีสุขภาพดี เราจะต้องมีจินตนาการเชิงบวกต่อสุขภาพ ทำให้ชีวิตเรามีความสุข สุขภาพดี แข็งแรง ร่างกายจะเป็นไปตามที่่เราคิด ถ้าเราเครียดร่างกายเราก็จะอ่อนแอ จิตใต้สำนึกมันส่งผลต่อร่างกาย


ขอบคุณที่มา : นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 148 เมษายน 2556 โดย กฤตสอร และเวบลานธรรมจักร

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประสบการณ์การแกว่งแขน, วิธีการแกว่งแขนรักษาโรค

มิ.ย. 2547 ภรรยาผมที่เป็นทัตแพทย์มาบอกผมว่ามีคนไข้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและครอเรสตรอรอลสูง ได้หายจากโรคดังกล่าวภายใน 3 เดือน โดยการแกว่งแขน 2,000 ครั้งต่อวัน ทุกวัน ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าแกว่งแขนอย่างไร

ก.ค. 2547 ผมได้ไปงานวันเกิดของลุงของภรรยา ลุงอายุ 83 ปี แต่สุขภาพและท่าทาง ไม่ต่างจากคนอายุ 40 ปี เคลื่อนไหวว่องไว พูดจาเสียงดังฟังชัด มิหน่ำซ้ำยังขับรถไปไหนมาไหนเอง ผมก็เลยถามลุงว่า ลุงมีเคล็ดลับในการบำรุงสุขภาพอย่างไร ? ลุงบอกว่า ลุงแกว่งแขนวันละ 1,000 ครั้ง ทุกวัน

ผมก็เริ่มสนใจว่าการแกว่งแขนเป็นอย่างไร ก็เลยเดินหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ บังเอิญโชคดี ไปเจอในร้านหนังสือเล็ก ราคา 20 บาท แล้วผมก็ฝึกการแกว่งแขนตามหนังสือช่วง 15 นาทีก่อนนอน จำนวน 1,000 ครั้ง ทุกวัน ผมนอนหลับได้สนิททุกคืน มิหน่ำซ้ำยังต้องนอนกลางวันหลังอาหารเที่ยงอีก

6 ธ.ค. 2547 ตื่นมาตอนเช้า เป็นหวัดน้ำมูกไหลพร้อมจาม ในวันนั้นไปเล่นกอลฟ์กับลูกค้า ผมจามจนหมดแรง ขณะเล่นกอลฟ์ จนเล่นไม่ไหวจึงขอ กลับก่อนในสภาพที่แย่มาก คืนนั้นผมก็แกว่งแขนตามปกติ และก็เกิดความคิดอีกว่าการแกว่งแขนก็เหมือนทำชี่กงคือพลังงานอยู่ที่มือหลัง การทำชี่กง แกว่งแขนก็น่าจะเป็นเหมือนกัน ดังนั้นพอแกว่งแขนเสร็จ ผมก็ใช้มือทั้งสองถูกันจนเกิดความร้อน แล้วเอามือทั้งสองโป๊ะที่จมูก เพื่อรักษาอาการหวัด แล้วถูใหม่ แล้วโป๊ะอีก อย่างนั้นอยู่ 5 ครั้ง

7 ธค.2547 ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่ปรากฏอาการหวัดเหลืออยู่เลย และลูกค้าที่ผมเล่นกอล์ฟด้วยเมื่อวานมาเจอผม เขางงมากที่ผมหายภายในข้ามคืน

14 ธค 2547 ตอนบ่าย รู้สึกเจ็บคอด้านซ้ายคล้ายอาการหวัด อีกครั้ง ผมก็ทำอีกครั้ง แต่เอามือทั้งสองลูบบริเวณคอด้านซ้าย ทำอยู่ 5 ครั้ง

15 ธ.ค. 2547 ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่ปรากฏอาการเจ็บคอเหลืออยู่เลย

ในช่วง ธค 2547 ถึง มค 2548 ผมผ่านการเป็นหวัด 4 ครั้ง แล้วก็หายภายในข้ามคืนทั้งสี่ครั้ง ซึ่งโดยปกติ การเป็นหวัดครั้งหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7 ถึง 10 วัน ถึงจะหาย

อาการอีกอย่างคือเหนื่อยง่าย ซึ่งผมได้กลั้นหายใจในขณะแกว่งแขน ประมาณ 30 รอบของการแกว่งแขน ทุกๆการแกว่งแขน 100 ครั้ง จากนั้นก็ปล่อยลมหายใจออกมา ผมรู้สึกความร้อนวิ่งจากต้นคอขึ้นไปทั่วสมอง นี่หรือเปล่าที่ทำให้เส้นเลือดในสมองได้มีโอกาสออกกำลังกายคือให้มีการ ยืดหยุ่น ทำให้รักษาความดันโลหิตสูง ขณะเดียวกัน อาการเหนื่อยง่ายของผมก็หายไป

ผม ได้แชร์ประสบการณ์นี้ให้คุณพิชัย ซึ่งเขาเป็นโรคปัสสวะไม่สุด และภรรยาเขาเป็นโรคนอนไม่หลับสนิทคือนอนได้ 2-3 ชั่วโมงแล้วก็ตื่น พอเขาไปแกว่งแขน 1,000 ครั้งต่อวัน อย่างสม่ำเสมอ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมก็เจอคุณพิชัยอีก ผมก็ถามอาการปัสสวะไม่สุดของเขาอีก ปรากฏว่าเขาลืมปัญหานี้ไปแล้ว เพราะมันหายไปตั้งแต่สองวันแรกที่เขาแกว่ง แขน ขณะเดียวกัน ภรรยาเขาก็นอนหลับได้สนิททุกคืน ปัจจุบันทั้งคู่ก็ยังคงแกว่งแขนวันละ 1,000 ครั้ง และคุณพิชัยได้ไปเหมาหนังสือนี้ทั้งหมดที่สำนักพิมพ์มีอยู่ เพื่อนำไปแจกเพื่อนๆ

อีกคนหนึ่งคือคุณธานี ซึ่งผมได้บอกเรื่องการแกว่งแขนให้เขาฟัง แล้วเขาก็เอาไปบอกให้พ่อเขาซึ่งมีอาการปวดเข่า หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน พ่อเขาก็หายจากอาการดังกล่าว เพราะการแกว่งแขน ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ บางครั้งคนเราอาจจะอุปโลกขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองก็ได้

นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ไม่มีการเสริมแต่งใดๆ เพราะผมไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆจากการเผยแพร่ประสบการณ์นี้ นอกจากการได้ช่วยให้ญาติมิตรหายจากการเป็นโรคต่างๆ โดยไม่ต้องกินยาของพวกฝรั่ง ที่มีผลข้างเคียงระยะยาว


วิธีการแกว่งแขน

ยืน แยกเท้าเท่าความกว้างของไหล่ ย่อเข่าเล็กน้อย แขนทั้งสองแนบลำตัว ปลายลิ้นแตะเพดานบน จากนั้นยกแขนทั้งสองไปข้างหน้า แล้วผลักแขนทั้งสองไปข้างหลัง แล้วให้แขนกลับมาเองโดยธรรมชาติ เหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกา ไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป บริเวณลำคอและไหล่ควรจะผ่อนคลาย หลับตาเพ่งสมาธิไปกับการนับจำนวนครั้งในการแกว่งแขน ทุกๆ 100 ครั้งของการแกว่ง ควรจะมีการกลั้นลมหายใจ จำนวน 30 ครั้งของการแกว่ง ควรจะแกว่งแขนต่อเนื่องกันวันละ 500 ครั้งสำหรับผู้ที่ต้องการให้ร่างกายแข็งแรง และ 1,000 ครั้ง ต่อวัน สำหรับผู้มีโรคประจำตัว เวลาในการแกว่งที่ดีที่สุดคือก่อนอาบน้ำตอนเย็น หลังการแกว่งทุกครั้ง ฝ่ามือทั้งสองจะมีพลังงานสะสมอยู่ ให้เอาฝ่ามือทั้งสองถูกันให้เกิดความร้อนแล้วไปลูบบริเวณที่เราต้องการรักษา เช่น หัวใจ ท้อง หรือจมูกคอเมื่อเป็นหวัด


ขอบคุณข้อมูลจาก : มาแกว่งแขนรักษาโรคกันเถอะ


วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แกว่งแขนรักษาโรค





คลิกที่รูปภาพ สามารถขยายขนาดรูปภาพได้


    แกว่งแขนรักษาโรคได้อย่างไร

              การบริหารร่างกายด้วยการแกว่งแขนนี้เป็นศาสตร์ของแพทย์แผนจีนที่สืบทอดต่อกันมานานหลายพันปีแล้ว เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ง่าย แถมยังทำได้ทุกเวลาที่ต้องการ ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใด ๆ อีกด้วย ซึ่งเกิดจากแนวคิดที่ว่า การที่คนเราป่วย หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว เป็นเพราะเลือดหมุนเวียนไม่ดี 

              อย่างเช่น พนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานอยู่วันละหลายชั่วโมง แทบไม่ได้ลุกไปไหน แต่หากได้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย บิดขี้เกียจสักครู่ เราจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก็เหมือนกับว่า เราทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดีขึ้นนั่นเอง เมื่อเลือดลมในร่างกายเดินสะดวกขึ้น ก็จะช่วยบรรเทาโรคร้ายได้นั่นเอง

              แล้วทำไมถึงต้องใช้การบริหารแบบ "แกว่งแขน" ล่ะ? 

              นั่นเพราะใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักแร้นั้น คือชุมทางของต่อมน้ำเหลือง หากเราได้ขยับหัวไหล่ และรักแร้ ด้วยการแกว่งแขน จะช่วยให้ต่อมน้ำเหลืองขยับไปด้วย เมื่อต่อมน้ำเหลืองขยับ มันก็จะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย อ๊ะ...อย่าลืมนะคะว่า "ระบบต่อมน้ำเหลือง" นั้น รวมไปถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ฯลฯ ด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดชำระล้างให้ร่างกาย มีหน้าที่ขจัดของเสีย สารพิษในร่างกาย แถมยังช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว แอนตี้บอดี้ของระบบภูมิคุ้มกัน กรองสารแปลกปลอม เชื้อโรคสารพัด 

              เมื่อระบบต่อมน้ำเหลืองได้หมุนเวียนอย่างสะดวก ไม่ติดขัด ก็จะช่วยเยียวยาอาการเจ็บป่วยของเราได้ชะงัด กลับกัน หากระบบต่อมน้ำเหลืองติดขัด ก็จะเกิดการอักเสบ เกิดอาการบวมตามจุดที่น้ำเหลืองไหลเวียน เช่น ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักแร้ใต้หัวไหล่ ท้องแขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ นั่นเพราะน้ำเหลืองไม่มีปั๊มเหมือนระบบเลือด ดังนั้น ต้องออกกำลังกายเท่านั้นจึงจะช่วยให้น้ำเหลืองไหลเวียนได้ดีขึ้น 


    ประโยชน์ของการแกว่งแขน
              หากทำติดต่อกันสัก 10 นาที จะให้ประโยชน์ในเรื่องของการออกกำลังกาย คือช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดีขึ้น สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น ทำให้อารมณ์แจ่มใส เบิกบาน แต่หากต้องการบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บให้ได้ผล ก็ต้องทำติดต่อกันในระยะเวลานานกว่านั้น และทำบ่อย ๆ ทุกวันได้ยิ่งดี เพราะจะช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น

              1. ลดการสะสมของไขมัน หากเราควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย ก็จะช่วยลดพุงได้  

              2. ลดความดันโลหิตสูง ช่วยทำให้การไหลเวียนของโลหิตเป็นไปอย่างปกติ  

              3. ช่วยลดความเครียด เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย 

              4. การได้ยืดเส้นยืดสาย จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

              5. ลดอาการปวดบ่า คอ ไหล่ จากการทำงาน 

              6. แก้โรคออฟฟิศซินโดรม ไม่ว่าจะเป็นนิ้วล็อก มือชา ไหล่ติด จากการนั่งทำงานงก ๆ อยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์ หากลุกขึ้นมาแกว่งแขนให้เลือดลมได้ไหลเวียนเสียหน่อย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้มากเลยทีเดียว

              7. ลดน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่นำผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 มาฝึกออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขน นาน 30 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน รวม 8 สัปดาห์ ภายหลังพบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ 

              8. ลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะการแกว่งแขนจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น

              9. เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเข่า เพราะการแกว่งแขนนั้นไม่มีการกระแทกน้ำหนักลงที่ส่วนขาเหมือนกับการวิ่ง หรือการขี่จักรยาน จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่า หรือขาด้วย


    เคล็ดลับการแกว่งแขนอย่างถูกวิธี

              จะมายืนแกว่งแขนขึ้นลงไปมาธรรมดา ๆ ก็คงไม่ถูกต้องนัก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มาดูวิธีแกว่งแขนลดพุงที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำไว้กันเลย ลองทำดูตามขั้นตอนดังนี้

               1. ยืนตรงตัว เข่าไม่งอ แยกเท้าทั้งสองข้างออกจากกัน โดยมีระยะห่างประมาณความกว้างหัวไหล่ 

               2. ปล่อยมือทั้งสองข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็ง ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง 

               3. หดท้องน้อยเข้า เอวตั้งตรง เหยียดหลัง ผ่อนคลาย กระดูกลำคอ ศีรษะ และปาก ผ่อนคลายตามธรรมชาติ

               4. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส้นเท้าออกแรงเหยียบลงบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนกล้ามเนื้อโคนเท้า โคนขา และท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้

               5. ควรงอบั้นท้ายขึ้นเล็กน้อย ระหว่างบริหารต้องหดก้น หรือขมิบทวารหนัก คล้ายยกสูงให้หดเข้าไปในลำไส้

               6. ตามองตรงไปจุดใดจุดหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่าน กังวลออกให้หมด ทำสมาธิให้รู้สึกอยู่ที่เท้า

               7. แกว่งแขนไปข้างหน้าเบาหน่อย ทำมุม 30 องศากับลำตัว หายใจเข้า แล้วแกว่งไปข้างหลังแรงหน่อย ทำมุม 60 องศากับลำตัว จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยง หายใจออกขณะแกว่งไปข้างหลัง นับเป็น 1 ครั้ง โดยปล่อยน้ำหนักมือให้เหมือนลูกตุ้ม และต้องสะบัดมือทุกครั้ง เพื่อให้เลือดหมุนเวียนไปถึงปลายนิ้ว

               8. ควรทำต่อเนื่องกันอย่างน้อยครั้งละ 10 นาที และใน 1 วัน ควรทำรวมกันให้ได้อย่างน้อย 30 นาที ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 5 ครั้ง หากทำติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือนครึ่งก็น่าจะเห็นผลลัพธ์ตามต้องการแล้ว

              อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เริ่มทำแรก ๆ อย่าหักโหมนัก อาจจะลองแกว่งแขนสัก 200-300 ครั้งก่อน วันต่อมาก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนครั้ง หรือเวลาให้นานขึ้น และอาจแบ่งทำเป็นช่วง ๆ เช้า กลางวัน เย็น ก็ได้ โดยควรแกว่งครั้งละอย่างน้อย 10 นาที และควรทำต่อเนื่อง อย่าทำบ้าง หยุดบ้าง จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร

              นอกจากนี้ ระหว่างที่แกว่งแขนควรทำจิตให้เป็นสมาธิ อย่าฟุ้งซ่าน ไม่เช่นนั้นเลือดลมจะหมุนเวียนสับสน ทำให้การปฏิบัติไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร และเมื่อกายบริหารแกว่งแขนเสร็จสิ้นแล้ว ควรเดินพักตามสบาย เพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ

              เห็นประโยชน์ดี ๆ แบบนี้แล้ว ก็ต้องลองลุกขึ้นมาแกว่งแขนกันสักหน่อยแล้วล่ะคะ เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่ายมาก ๆ ยืนดูทีวีไป ก็แกว่งแขนตามไปด้วยก็ได้ ร่างกายจะได้ขยับ ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ออกไปบ้าง ดีกว่าอยู่เฉย ๆ นะคะ แถมถ้าแกว่งแขนต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน คุณจะตื่นตากับผลลัพธ์ที่ได้รับแน่นอน


ขอบคุณข้อมูล รูปภาพ จาก kapook.com และ สสส.

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

หมอรักษาพระ

อาจารย์ท่านนี้ ท่านจะเก่งเรื่อง
การจัดกระดูกให้เข้าที่
การเรียงเส้นกล้ามเนื้อ
การเรียงเส้นเลือด
การเรียงเส้นลม
การเรียงเส้นประสาท

นอกจากนี้ ท่านยังสามารถ
เปิดเส้นเลือด
เปิดเส้นลม
เปิดเส้นประสาท เพื่อให้สามารถสั่งงานร่างกายส่วนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

สถิติล่าสุด รักษาพระ นั่งรถเข็ญ มา 27 พรรษา ให้เดินได้ ด้วยการรักษาแค่ 2-3 ครั้ง เท่านั้นเอง

สำหรับท่านที่เป็นโรคนกเขาไม่ขันนั้น
ขออนุญาตตอบเฉพาะทาง PM เท่านั้น ไม่ว่ากันนะครับ

ส่วนค่ารักษานั้น ถูกยิ่งกว่าถูกครับ
"ตามจิตศรัทธา เท่าไรก็ได้ ไม่ให้ก็ได้"


ผมเรียกอาจารย์ท่านนี้ว่า "หมอรักษาพระ"
เพราะแรกๆ ที่เรียนวิชามาใหม่ๆ ท่านจะรักษาแต่พระ เณร เท่านั้น

คราวนี้ท่านเล่าให้ฟังว่า มีฝรั่งมารักษากับท่านที่ วัดพระราม 9
เขาเป็นโรครักษายาก พอรักษาเสร็จ เขาก็ขอให้ท่านอาจารย์รอซักสองสามวัน
เพื่อรอผลตรวจจากโรงพยาบาล เมื่อผลตรวจออกมา ปรากฏว่าโรคที่เป็นหายเป็นปลิดทิ้ง
ฝรังดีใจมาก ถึงกับบอกว่า

"หมอรู้ไหม คนที่รักษาโรคนี้ได้ ในโลกตะวันตก จะมีค่าตัว เป็น 1000 ล้าน"
แล้วเขาก็มอบเงินให้ท่านอาจารย์ 100,000 บาท
ท่านก็ถวายวัดเป็นผ้าป่า 2 วัดๆละ 45,000 บาท
ท่านเก็บเอาไว้เพียง 10,000 บาทเท่านั้น

"ได้อ่านพบ ข้อความของ คุณลุงมหา กล่าวถึง คุณหมอรักษาพระ ผมก็เลยเดินทางไปทำการรักษา ผลสรุปว่า อาการของผม ดีขึ้น แม้จะยังไม่หาย แต่ก็คิดว่า จะลองไปเล่นเพาะกายอีก หลังจากหยุดมาเกือบจะ 2 เดือน จนเริ่มอ้วนขึ้นมาบ้างแล้ว

ผมอายุ 47 หลังจากเล่นเพาะกายมา 1 ปี+ การเลือกกินอาหาร หุ่นจากขาหมูพะโล้ ตอนนี้ก็เกือบๆนายแบบเกาหลี (แต่หน้าแก่มากไปหน่อย)

ประวัติ การเรียนวิชา ของคุณหมอรักษาพระ ผมไม่สามารถเล่าได้ ด้วย เหตุผล 2 ข้อ
1. ไม่ได้ขอคุณพ่อไว้
2. ต้องมีคนมาหาว่าโม้ (เพราะพิศดารพันลึก)

ขอเล่าถึงผู้ใจบุญที่ทำให้ หลายๆท่านได้มีโอกาศรักษาตัว
ท่่านเป็นผู้บริหาร ของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง
ญาติของท่านเป็นอัมพฤกษ์ ได้รักษากับคุณพ่อแล้วดีขึ้น
ส่วนตัวท่านเอง ก็มีโรคเบาหวาน น้ำตาลก็ลดลงไปมาก ท่านก็เลย ให้บ้านหลังที่คลอง 3 ไว้เป็นที่พักของคุณพ่อหมอ ไว้เวลาขึ้นมา กทม พร้อมทั้งติดแอร์ จ่ายค่าน้ำไฟ ใครไปรักษาตอนนี้ก็ นอนสบายแอร์เย็นฉ่ำ"


การรักษาของ"หมอรักษาพระ"นั้น ท่านมีกฏเกณฑ์ ที่เข้มงวดของท่านอยู่ว่า

1.การรักษาของท่าน ต้องรักษา อย่างน้อย 2 ครั้ง
2.ครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 นั้นจะห่างกันได้ 6-8 วัน (ส่วนมากจะเป็น 7 วัน)
3.การรักษาครั้งที่ 3 จะเว้นห่างจากครั้งที่ 2 นานเท่าไรก็ได้ ตามความสะดวก

เหตุผลก็เพราะว่า การย้ายเส้นเอ็น เส้นเลือด เส้นลม เส้นประสาท ในร่างกายมนุษย์โดยไม่ต้องผ่าตัดนั้น ต้องทำโดยการถ่ายธาตุไฟ จากหมอผู้รักษาเข้าไปยังตัวผู้ป่วย เพื่ออุ่นผังผืดที่ยึดจับ เส้นเอ็น เส้นเลือด เส้นลม เส้นประสาท ก่อน แล้วจึงใช้การนวด เพื่อย้ายเส้นเหล้านั้นไปสู่ตำแหน่งที่ถูกต้อง ตามธรรมชาติมาตรฐานของมนุษย์ ต่อไป

ในท่านที่ป่วยมานาน ในท่านที่ป่วยมาก การย้ายในคราวเดียว ทำไม่ได้
เพราะร่างกายมนุษย์ไม่สามารถรับธาตุไฟเข้าไปในตัวให้พอเพียงในคราวเดียวได้
เพราะการปรับสมดุลธาตุนั้น ต่องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป

และการที่เส้นต่างๆ ย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ผิดจากเดิมมากๆ
ก็ไม่สามารถย้ายกลับเข้าสู่ตำแหน่งในคราวเดียวได้
เพราะผู้ป่วยจะเจ็บมากเกินไป จึงต้องมีการแบ่งการรักษา ออกเป็นหลายๆ ครั้ง

และขอเตือนท่านที่จะนำญาติพี่น้อง ที่เป็นอัมพฤก อัมพาต มารักษา
ให้โทรนัดล่วงหน้าก่อนเสมอ เพราะท่านอาจารย์จะเปลืองแรงและอ่อนเพลียมาก
และไม่ควรพามาในวันทีมีผู้ป่วยมารักษาจำนวนมากๆ

สำหรับญาติธรรมที่ อยู่ในภาคอีสาน หรือ ท่านที่ต้องการไปรักษาโดยด่วน
ท่าน อาจารย์ หมอรักษาพระ ท่านมีบ้านพักอยู่ใกล้ตัวเมือง จ.กาฬสินธุ์

ปากซอย เป็นพิกัด

16°27'3.64"น
103°29'43.70"ตะวันออก

ปากซอยมีป้ายบอกว่า "วัดป่ามัชฌิมาวาส"
เข้าซอยไปประมาณ ๑ กิโลก็น่าจะใกล้เคียง อยู่ฝั่งขวามือ


สำหรับเบอร์โทรของหมอรักษาพระหรือคุณหมอสมพงษ์ สามารถสอบถามที่คุณลุงมหา (เวบพลังจิต) 

ขอบคุณและรวบรวมข้อมูลมาจาก : ขอหยุดภัยพิบัติเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ตอน “แม่หมอเทวดา” หน้าที่ 3 และ 4


วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

แม่หมอเทวดา

เมื่อผมถามไปถามมาจนรู้ แม้มีโอกาสจะถามท่านอาจารย์วันชัยโดยตรงก็มีเหตุแคล้วคลาด อยู่เสมอ
ผลสุดท้ายก็ให้ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์วันชัยที่สนิทกับผมมากๆ ถามให้ จนได้ชื่อที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ของ “แม่หมอเทวดา” มาได้

ครั้นพอผมเดินทางไปครั้งแรก ก็เกิดอุปสรรคมากมาย เพราะ“แม่หมอเทวดา” นั้น ท่านเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ท่านมีความรู้ ความเข้าใจแบบชาวบ้าน

การพูดจาสอบถามทางโทรศัพท์นั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ จนแม้แต่ผมก็สับสนจนแทบจะท้อ เกือบๆจะเดินทางกลับก็หลายหน

คิดว่า ครั้งหน้าค่อยมาใหม่ ด้วยความอดทน ก็ดั้นด้นไปหาท่านจนเจอ

เมื่อเจอแล้ว ถึงได้เข้าใจว่า ปัญหามาจาก เจ้ากรรมนายเวรปกปิดซ่อนเร้นและ “แม่หมอเทวดา” ท่านเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ จึงพูดจาภาษาชาวบ้าน จึงยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้

หลังจากผมได้พบเจอท่านแล้ว ผมก็พาญาติพี่น้อง ตลอดจนครูบาอาจารย์พระสายธรรมยุติที่ผมเคารพนับถือ ไปรักษากับท่านหลายราย

เมื่อผมได้เรียนท่านอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ ตั้งแต่ครั้งที่ไปสร้างหลวงพ่อทันใจที่ วัดป่าปานนิมิต เขตภูเขาควาย ประเทศ สปป. ลาว

ท่านก็อนุญาตให้เผยแพร่ในหมู่ญาติธรรมพระใหญ่ได้ ท่านก็บอกว่า

ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยอะไรได้ก็ช่วยเลย

ตั้งแต่นั้นมา เจอญาติธรรมพระใหญ่ชัยภูมิที่เจ็บไข้ได้ป่วย ผมก็บอก ก็จดเบอร์โทรศัพท์ ของ “แม่หมอเทวดา” ให้

พร้อมบอกเบอร์โทรของผมให้ไปด้วยกันความผิดพลาด

ครูบาอาจารย์ธรรมยุติที่ผมพาไป ท่านก็ขออนุญาต “แม่หมอเทวดา” ว่า ถ้าลูกศิษย์ลูกหา หรือเพื่อนพระของท่านเจ็บป่วย

ก็จะโทรมาบอกพร้อมจดชื่อ-นามสกุล วันเดือน ปี เกิด และโอนเงินค่ายา ค่าส่งยามาให้ด้วย “แม่หมอเทวดา” ท่านก็อนุญาต

ครูบาอาจารย์ธรรมยุติ ท่านก็เลยช่วยจัดหายาจาก “แม่หมอเทวดา” ไปช่วยรักษา ช่วยชีวิตคนได้เป็นจำนวนหนึ่ง



ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า

มีคนเป็นโรคตับระยะสุดท้ายบ้านอยู่ติดกันสองคน หนึ่งในสองมารับยาจากท่านไปต้มกินก็หายจากโรคได้กลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ

อีกคนไม่เชื่อไม่ได้มารับยาจากท่านก็ตายไปตามเวรตามกรรม

คนที่รักษาหายเห็นท่านเมื่อไร จะเข้ามากราบอยู่เสมอ บอกว่า ครูบาอาจารย์ให้ชีวิตใหม่กับผม เขาว่าอย่างนั้น

ท่านยังเล่าเรื่องราวของคนป่วยอื่นๆอีกหลายราย มีทั้งที่เชื่อ และไม่เชื่อ มีทั้งที่มารับยาและไม่มารับยา

ปัจจุบันท่านเร่งความเพียรอย่างหนัก ก็เลยซาๆไป เรื่องรักษาคน

แม่หมอเทวดา ท่านนี้ท่านมีความเกี่ยวพันในอดีตชาติใกล้ชิดกับ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านจึงได้รับพรจากเบื้องบน ให้รักษาคนได้

สำหรับท่านที่ต้องการ รักษาโรค หรือพาญาติของท่าน หรือจะเผื่อแผ่ผู้ป่วยท่านอื่นๆ ก็ตามสะดวกกันนะครับ


รายละเอียด วิธีการ ขั้นตอน ค่าใช้จ่ายในการรักษา

1. ขอให้เดินทางไปรับการรักษากับ “แม่หมอเทวดา” ที่บ้านของท่านด้วยตัวผู้ป่วยเอง
หรือถ้าไม่สะดวกต้องให้ ญาติสนิท พ่อ แม่พี่ น้อง บุตร ภรรยา สามี ครูบาอาจารย์ ไปขอรับยาแทนเท่านั้น

2. ถวายขันห้า เทียน 5 คู่ ดอกไม้ขาว 5 คู่ (จะให้ดี ดอกบัวขาว หรือ ดอกมะลิ) นำไปขอรับการรักษา
โดยนำไปใส่ขันใบใหญ่ที่ “แม่หมอเทวดา” จัดเตรียมไว้
พร้อมเงินค่าครู 5 บาทต่อการขอรักษาต่อ 1คน ห้ามขาด ห้ามเกิน
บอกพร้อมกับเขียน วันที่ ชื่อ ที่อยู่ของผู้เข้ารับการรักษา พร้อมลงชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
ตามสมุดเยี่ยมที่ท่านเตรียมไว้ให้ ท่านจะรับแขกเกือบทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันพระ

3. การรับยา จะรับพร้อมกับ การจ่ายค่ายา ค่ายา 320 บาทต่อค่ายา 1 ชุด ยา 1 ชุด มีประมาณ 16 มัด
(มัดที่จะต้มดื่มมัดสุดท้าย จะแตกต่างจากมัดอื่นๆ นอกนั้นจะเหมือนกันหมด)
ใช้ต้มดื่มแทนน้ำ ระยะการเปลี่ยนยา 7 วัน หรือ 8 วัน โดยห้ามไม่ให้เริ่มต้มยาวันพระ และห้ามเปลี่ยนยาวันพระ
ถ้าวันที่ 7 เป็นวันพระ ให้เลื่อนไปเปลี่ยนยาไปอีก 1 วัน คือวันที่ 8

4. “แม่หมอเทวดา” ท่านจะบอก ท่านจะอธิบายว่า ยาของท่านไม่ใช่ ยารักษา แต่เป็น “ยาขอหาย”

ไม่ว่าท่านจะเป็นโรคอะไร ก็ขอให้ท่าน อธิฐาน ขอหายโรคนั้นๆ เอาเอง

“แม่หมอเทวดา” ท่านจะบอกว่า (ท่านจะดูด้วยญาณของท่านเอง) ท่านที่เข้ามาขอรับการรักษา

เป็นโรคอะไร มีสาเหตุมาจากอะไร

เกี่ยวข้องกับ เจ้ากรรม นายเวรอะไร อย่างไร
อาการของท่านอยู่ในขั้นไหน ระดับไหน
ถ้าไม่เข้ารับการรักษาจะเป็นอย่างไร ถ้ารักษาจะเป็นอย่างไร


“แม่หมอเทวดา” ท่านจะบอกว่า จะหายไม่หาย จะหายยากหายช้า หรือไม่หาย
ก็จะรู้กันภายในระยะเวลาที่ ดื่มยาของท่านจนหมดนี่ละ ยา 16 มัดๆละ 7 วัน ก็จะประมาณ 112 วัน

“แม่หมอเทวดา” ท่านจะบอกว่า โรงพยาบาลต่างๆมียามากมาย แต่ที่รักษาไม่ได้เพราะเป็น โรคกรรม

แม้บางท่านได้ยาสมุนไพรมา ก็ได้ไม่ครบเพราะขาด ส่วนของเจ้าของยา ขาดผู้ทำการรักษา ก็คือขาดหมอยานั่นละครับ
ท่านบอกว่า ต้องมีเจ้าของยา ต้องมีหมอยา เป็นผู้มอบยาให้ เพราะตัวยานั้น ต้องมาจากผู้รักษา มาจากเจ้าของยา
มาจากหมอยา ว่า ท่านนั้นๆมีบุญบารมีในการรักษาผู้คนหรือไม่
ถ้าท่านไปหาซื้อยามาต้มกินเอง มันก็ไม่หายขาดจากโรค เพราะขาดส่วนสำคัญคือ หมอยา

“แม่หมอเทวดา” ท่านจะบอกว่า หายไม่หาย ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนของผู้ป่วยเอง

ถ้าปฏิบัติตามข้อห้ามของโรคแต่ละโรค และดื่มยาจนหมด หายจากโรคแน่นอน


5. ส่วนการห้ามอื่นๆ ก็ได้แก่ การห้ามทาน มังสังสิบ และห้ามทานข้าวทานน้ำในบ้านงานศพ ในศาลาสวดศพ ขณะที่ยังตั้งศพอยู่

6. สำหรับท่านที่ปฏิบัติสมาธิภาวนา พร้อม กับ การทำบุญ แผ่อุทิศบุญกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวร ก็จะทำให้ การรักษาได้ดี ได้เร็วยิ่งขึ้น


ตัวอย่างที่ผมได้นำพา คนป่วยเป็นมะเร็ง ไปรักษา

อาหารที่ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง พึงละเว้น พึงงดคือ

1. กลุ่มเนื้อสัตว์ทั้งหลาย

2. กลุ่มยาเสพติดทั้งหลาย น้ำอัดลมทุกชนิด เครื่องดื่มบำรุงกำลังทุกชนิด

3. เนื้อปลาที่ทานได้ๆแก่ ปลาที่คนเลี้ยงขายได้แก่ ปลานิล ปลาใน ปลาขาว ปลาตะเพียน ปลาทับทิม ปลานกแก้ว ปลาร้าทานได้แต่ส่วนที่เป็นน้ำที่ผสมอาหารเท่านั้น

4. เนื้อปลาที่ทานไม่ได้ๆแก่ กลุ่มปลาขนาดเล็ก เช่นปลาซิว ปลาสร้อย ปลาร้า(ส่วนที่เป็นเนื้อ) ปลาไม่มีเกล็ดต่างๆ และไข่ปลาต่างๆ

5. กลุ่มผลไม้ที่ทานไม่ได้ ได้แก่ ทุเรียน มะพร้าว ขนุน กล้วย และ ผลไม้ที่เป็นเครือไม้เลื้อย เช่น องุ่น

6. กลุ่มผักที่ทานไม่ได้ ได้แก่ ผักที่เป็นกอ เป็นเครือ ที่แตกหน่อได้ ที่เป็นไม้เลื้อย

7. กลุ่มผักที่ทานได้ ได้แก่ ผักประเภทผักกาด หอม กระเทียม

8. น้ำชา กาแฟ แม้มีผลน้อย งดได้ก็ควรงดเสีย ส่วนนม เครื่องดื่มที่ทรงคุณค่ามากที่สุด ดื่มได้ตามปรกติ


เมื่อศิษย์สายของหลวงปู่โลกเทพอุดร ล้วนมากันแห่มารักษากันที่นี่

เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่บุญบารมีของใคร ของมันก็แล้วกัน ผมก็คงช่วยได้เท่านี้


จากประสบการที่นำพาคนไปรักษาจำนวนมากนั้น โรคที่คนทั่วไปพาคิดว่า รักษายาก รักษาไม่ได้

สามอันดับแรก คือ โรคเอดด์, โรคมะเร็ง และโรคตับนั้น

กลับพบว่า รักษาได้ง่ายและเห็นผล ได้ผลเร็วที่สุด


เท่านี้ก็พอ เป็นแนวทางให้ ท่านที่มีผู้อันเป็นที่รักที่ป่วยไข้ทั้งหลาย หรืแม้แต่ตัวผู้ป่วยเอง ได้พิจารนาได้ไตร่ตรอง


พิกัดบ้านแม่หมอเทวดา
ละติจูด: 13°59'37.39"น
ลองจิจูด: 102°40'31.94"ตะวันออก

ป้ายไม้ หน้าบ้านแม่หมอเทวดา เขียนว่า

"ที่ทำการกองทุนเงิน"
"แม่ของแผ่นดิน บ.ซับม่วง"

"ครัวเรือนต้นแบบหมู่บ้านเศรฐกิจพอเพียง"

"คุ้มเหนือพัฒนาชาวประชาร่วมใจ"


"กลุ่มหมอยาพื้นบ้านและสมุนไพรไทย"
"ศูนย์จำหน่ายเสื่อทอพื้นบ้าน(ไหล,กก)"


เบอร์โทรแม่หมอเทวดา 081-075-1477

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ...... .....
ผมพาแฟนไปหาแม่หมอแล้วครับตามที่แนะนำ
ท่านเหมือนมีตาเอกซเรย์ เห็นโรคจริงๆครับ
บอกอาการได้ถูกต้องทั้งหมดทั้งที่ไม่ได้เล่าอาการให้รู้ก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ


ขอบคุณข้อมูลและรวบรวมข้อมูลมาจาก : ขอหยุดภัยพิบัติเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ตอน “แม่หมอเทวดา” 

หมายเหตุ : รายละเอียดเพิ่มเติม และข้อมูลอีกมากสามารถเข้าไปอ่านได้ตามลิ้งค์ขอบคุณดังกล่าวครับ

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

ดื่มน้ำรักษาโรค

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผล


ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้วรวดเดียว (หรือน้ำจากเครื่องกรองน้ำ ) จะรู้สึกหายใจเหนื่อย อึดอัดไปหน่อย

(ครั้งแรกถ้าดื่ม 5 แก้วไม่ได้ ก็ให้ดื่มเท่าที่จะดื่มได้ อาจเป็น 2-3 แก้ว แล้วค่อยๆ เพิ่มในครั้งต่อๆ ไป)

หลังจากนั้น จะปัสสาวะบ่อยๆ

ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังกายไม่ได้
ทุกเช้า ควรปฏิบัติดื่มน้ำ แทนการออกกำลังกาย

เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ

แต่ความเป็นจริง ได้ผล

เนื่องจาก ทำให้ลำไส้ใหญ่ ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น

ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้น จากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต

คนบางส่วนเนื่องจากลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจาง มีอาการรู้สึกเพลีย และเป็นโรค เป็นการรักษายาก

ลำไส้ของผู้ใหญ่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร

ถ้าลำไส้สะอาด อาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อย
แล้ว ดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่

เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น

โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน


ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด

หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้ค้างคืนเพื่อให้ตกตะกอนเสียก่อน เพื่อป้องกันท้องร่วง

เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ

แต่หลังอาหารสองชั่วโมง ไม่ควรดื่มอีก

ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล


ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย

ดื่มน้ำเสร็จควรออกกำลังกายสัก 20 นาที

คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดมากๆ

และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้
เพื่อล้างลำไส้ให้สะอาด

ดื่มน้ำวันแรก ภายใน 1 ชั่วโมง
จะปัสสาวะ 3 ครั้ง ติดๆกัน

แต่ต่อไป 3-4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติ

ภายใน 7-8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครังเดียว

นับแต่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย

เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ

นี่เป็นการแสดงว่า กระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว

จึงนำมาเผยแพร่ให้รู้โดยทั่วกัน เพื่อให้ทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ( จากตำราจีน)



ที่มา : ลองดู แล้วจะรู้ว่า ของนี้ดีจริง

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

สูตรยารักษาโรคกระเพาะ จากท่านแม่ชีใหญ่

ขออนุญาตเล่ารายละเอียดก่อนนะค่ะ
* ตอนเด็กๆหนูเคยเอาข้าวไปให้หมากิน ตอนแรกหนูตั้งใจจะเอาข้าวไปให้หมาที่เจ็บขาหนูเลยใส่ยาพาราไปด้วยแต่มันไม่ อยู่หนูก็เลยเอาไปให้กับลูกตัวสีขาวตัวหนึ่งและวันหนึ่งหนูก็ว่าคนแถวบ้าน อุ้นศพของมันไปทิ้ง แต่หนูไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเขาและด้วยเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยว่าหมากินยา พาราไม่ได้ ต่อมาหนูก็ปวดท้องมีอาการเหมือนโรคกระเพาะเป็นๆหายๆอยู่สองสามปีแล้วก็เป็น อีก หนูคิดว่าเป็นเพราะผลกรรมตรงนี้ทำให้มีอาการปวดท้องอยู่แบบนี้

แต่เมื่อไม่นานมานี้ คืนหนึ่งหนูก็ฝันว่าได้สูตรยาตกลงมาจากท้องฟ้า เป็นสูตรยารักษาโรคกระเพาะซึ่งในฝันผู้ที่ให้สูตรยาแก่หนู
ก็คือ " แม่ชีใหญ่ " หนูก็ดื่มสูตรยานี้จนตอนนี้ก็หายเป็นปกติแล้ว เวลาทานข้าวก็ไม่มีอาการปวดท้องเหมือนคนเป็นโรคกระเพาะแล้ว

** สูตรยาธรรมทานที่หนูเอามาบอกกล่าวต่อทุกท่านในครั้งนี้ หนูขอยกถวายผลบุญทั้งหมดแด่ท่านแม่ชีใหญ่ที่ได้โปรดเมตตาบอกสูตรยานี้แกหนู และ หนูขอแผ่ส่วนบุญทั้งหมดนี้ให้แก่ลูกหมาตัวสีขาวตัวนั้นที่ได้กินข้าวของหนู ไปและตายลงจะด้วยการกระทำของหนูหรือไม่ก็ตาม หนูก็ขอยกส่วนบุญสำเร็จแก่เขาด้วยและหนูก็ขออโหสิแก่กันด้วย

**** สูตรยารักษาโรคกระเพาะของท่านแม่ชีใหญ่


กระชายดำอบแห้ง กับ พุทราอบแห้ง ในสัดส่วนเท่ากัน เอาไปต้มน้ำแล้วดื่มหลังอาหารวันละครั้ง


ขอบคุณที่มา : ขอแจกธรรมทาน สูตรยารักษาโรคกระเพาะ *จากท่านแม่ชีใหญ่ค่ะ

ตำหรับยาสมุนไพร ของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

ชาตะไคร้

สรรพคุณ แก้ปวดกระดูก ปวดหลัง ปวดแข้ง ปวดขา ป้องกันกระดูกผุ นั่งดูหนังสือแล้วตาลาย ลุกขึ้นแล้วหน้ามืด ป้องกันโรคไต เบาหวาน คอเลสเตอรอล
วิธีทำ เอาต้นตะไคร้ล้างให้สะอาด (ตะไคร้ที่ใช้ทำอาหาร) ใช้ส่วนที่เป็นต้น ใบกับรากไม่เอา หั่นตากแดดให้แห้งสนิท แล้วนำมาคั่วให้เหลือง หอม เก็บไว้ชงหรือต้มกินต่างน้ำเหมือนนำชา



ยาอายุวัฒนะ

สรรพคุณ แก้มะเร็งเม็ดเลือด เสกด้วยนวหรคุณ 9 รักษาโรคมะเร็งระยะเป็นใหม่ๆ รักษาเอดส์ต้องเสกด้วยพุทธคุณ 108 แก้ท้องเฟ้อ มดลูกเสีย กินทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง
วิธีทำ เกลือทะเลเม็ด 3 ส่วน บอระเพ็ดสดหั่น 5 ส่วน มะขามเปียกเอาเม็ดและซางออกสับ 7 ส่วน นำมาโขลกผสมกัน กินเช้า-เย็น หรือก่อนนอน ครั้งละก้อนเท่าหัวแม่มือ ถ้าต้องการให้ถ่าย กินตามธาตุหนัก-เบา แล้วดื่มน้ำตามมากๆ



โรคไตวาย

วิธีทำ ให้ไปถากเปลือกงิ้วแดง ถากขึ้น 2 แถว ลง 1 มาต้มดื่มต่างน้ำ (ต้มสดๆ เลย) (เวลาถากเปลือกอย่าถากรอบต้น ต้นไม้จะตาย)



เสียงแหบแห้ง

วิธีทำ ให้นำกระเทียม พริกไทยโขลกให้ละเอียดละลายด้วยน้ำผึ้งกิน



ตกขาว

วิธีทำ นำสับปะรดทั้งหัว หมกปูนขาว 3 วัน (ถ้ายังไม่สุกหรือฉ่ำให้หมกต่อ) แล้วนำมาปอกกินตามปกติ



โรคชัก เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคป่วง

วิธีทำ นำพริกไทยเม็ด โขลกให้ละเอียดใส่แคปซูลไว้ นำพริกขี้หนูป่นใส่แคปซูล กินพร้อมกันอย่างละ 1 แคปซูล (ของยาแผนปัจจุบัน) กินก่อนอาหารเช้า-เย็น)



โรคกระเพาะ

วิธีทำ ให้เอากล้วยน้ำว้าดิบ ฝานบางๆ ตากแดดให้แห้งสนิท แล้วป่นให้เป็นแป้ง เวลากินตักครั้งละ 1 ช้อนคาว ใส่น้ำสุกอุ่นๆ แล้วดื่ม (กินต่างน้ำชา)



เลือดกำเดาออก

วิธีทำ เอาใบพุทรา (พุดซา) 3 กำมือ ยาข้าวเย็นเหนือหนัก 4 บาท ยาข้าวเย็นใต้หนัก 4 บาท มาต้มดื่มต่างน้ำ



มะเร็ง

วิธีทำ นำลูกใต้ใบทั้ง 5 กับต้นไมยราบทั้ง 5 มาต้มกินต่างน้ำ (ทั้ง 5 หมายถึง ราก, ต้น, ใบ, ดอก, และผล)



โรคตับแข็ง

วิธีทำ กินบอระเพ็ด วันละ 5 แว่น (ยาวประมาณ 2 ซ.มหรือองคุลี) โดยเฉพาะคุณแม่ที่กินยาดองหลังคลอดบุตร และรักษามะเร็ง หรือโรคท้องมาน ต้องลงด้วย "นะโมพุทธายะ"



รักษาโรคตับอีกขนาน

บอระเพ็ดสด 1 ช้อนคาว เคี้ยวสดๆ แล้วตามด้วยน้ำผึ้งเดือนห้า



ร้อนใน อาเจียน

วิธีทำ ใบตำลึงต้มกินหาย อีกขนานให้เอายอดกระทกรกและยอดตำลึงต้มกิน หรือคั้นเอาน้ำกิน



โรคภูมิแพ้

วิธีทำ ให้กินบอระเพ็ด



โรคหอบ-หืด

วิธีทำ นำต้นตำแยแมว มาโขลกใส่น้ำซาวข้าว กรองเอาแต่น้ำ



โรคหัวใจโต

วิธีทำ กินกระถินแล้วเอาเปลือกกับรากมาต้มน้ำดื่ม



นมหลง (ปวดนมหรือนมคัด)

วิธีทำ เอานุ่นมาจุดไฟแล้ว ใส่ไหกระเทียม อย่าให้ควันออก เอาปากไหกดครอบเต้านมไม่นาน น้ำนมจะไหล หายปวด



กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

วิธีทำ ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้หนัก 4 บาท, ฟ้าทะลายโจร (สด) 1 กำมือ, หน้าหนวดแมว (สด) 1 กำมือ, รากหญ้าคา (สด) 1 กำมือ นำตัวยาทั้ง 4 อย่างนำมาต้มดื่มแทนน้ำ



ไข้ทับระดู (เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน)

วิธีทำ หญ้าเจ้าชู้ 3 กำมือ, ยาข้าวเย็นเหนือ, ข้าวเย็นใต้ หนัก 4 บาท นำตัวยาทั้งหมดมาต้มดื่มต่างน้ำ



บิดหัวลูก (เป็นโรคบิดระหว่างตั้งครรภ์)

วิธีทำ นำเปลือกมะพร้าวอ่อน (ปลอกผิวสีเขียวออก เอาเฉพาะส่วนที่เป็นกาบอ่อน) บิดเอาน้ำ 1 แก้ว, น้ำปูนใส (ปูนกินหมาก) 1/2 แก้ว, เปาะหอม ทั้ง 3 สิ่งนำมาโขลก กรองเอาแต่น้ำมากิน



โรคลำใส้เน่า (เป็นยาเทวดา)

วิธีทำ ใช้หม้อดิน เอาเกลือมา 3 กำให้กลั้นใจหยิบ 3 จับ แล้วเทใส่หม้อ ท่านสอนให้ท่อง "พุทธัง ปัจจักขามิ 1 กำ ธัมมัง ปัจจักขามิ อีก 1 กำ สังฆัง ปัจจักขามิ อีก 1 กำ" ใส่หม้อสะตุเกลือ (โดยไม่ต้องใส่น้ำ) จนละเอียดไปหมดแล้ว ปลงลงมาเอาไข่ขาว (ไข่ไก่ 5 ฟอง ไม่เอาไข่แดง) ใส่แล้วคนให้เข้ากัน ท่อง "พุทธัง ปัจจักขามิ, ธัมมัง ปัจจักขามิ, สังฆัง ปัจจักขามิ" กินครั้งละ 1 ช้อนคาว



รักษาผิวหน้าไม่ให้เหี่ยวย่น

วิธีทำ ขนาน 1 ใช้น้ำผึ้ง กับผิวมะนาว ทาหน้าเป็นประจำ, หรือขนาน 2 ใช้ใส้ตะเกียงเจ้าพายุที่ใช้แล้ว ผสมน้ำมะนาว ทาหน้าเป็นประจำก็ได้



ผมอ่อนสลวย

วิธีทำ ใช้น้ำส้มมะขาม (มะขามเปียก) สระผม



เพื่อสุขภาพที่ดีอื่นๆ

วิธีทำ ตื่นเช้าแกว่งแขน 100 ครั้ง, แตะขาขึ้น 100 ครั้ง แล้วอย่าเพิ่งไปล้างหน้า ดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ 5 แก้ว (ถ้าอายุเกิน 45 ปี กินน้ำต้ม ถ้าอายุยังไม่ถึง 45 ปี ไม่ต้องต้ม) รับรองอุจจาระดี หูตึงหาย ปวดศีรษะซีกหนึ่ง น้ำตาไหล ปวดลูกตา หายเลยทีเดียว



ที่มา : หนังสือตำหรับยาสมุนไพร หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

ยาอายุวัฒนะ ตำหรับของหลวงปู่เทพโลกอุดร

ยาอายุวัฒนะ ตำหรับของหลวงปู่เทพโลกอุดร ข้าพเจ้าได้มาจากหนังสือสวดมนต์บูชาหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ครั้งไปเยือนเกาะเกร็ด นนทบุรี นานหลายปีแล้ว รู้และเก็บรักษามานานพอควร จึงนำออกเผยแพร่ แบ่งปันความรู้แก่สาธารณะชน เพื่อเป็นวิทยาทาน


ส่วนประกอบยาอายุวัฒนะ ตำหรับของหลวงปู่เทพโลกอุดร

  1. บอระเพ็ด
  2. หัวแห้วหมู
  3. ว่านไพล
  4. ขมิ้นขึ้นหรือขมิ้นชัน
  5. น้ำผึ้ง

หนักอย่างละเท่าๆ กัน บดปั้นเป็นลูกกลอนรับประทานวันละครั้งก่อนนอน ทั้งนี้ต้องรักษาอิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) อย่างเคร่งครัดด้วย




เผยแพร่ แบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นการสร้างความดี
เมธา.
01 เม.ย. 2556